ปัญหาเสียงดังรบกวนในสังคมไทยทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสียงรบกวนมีความเข้มข้นมากขึ้น ทั้งนี้เพราะเสียงดังรบกวนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของประชาชนโดยตรง บทความนี้จะพาทุกคนสำรวจทุกแง่มุมของกฎหมายเสียงรบกวนที่สำคัญ เพื่อให้เราสามารถวางแผนจัดการเสียงดังรบกวนภายในพื้นที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ละเมิดกฎหมายจนทำให้เกิดความเสียหายตามมาภายหลัง
ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายเสียงรบกวน
มลภาวะทางเสียงไม่ใช่แค่เรื่องความรำคาญ แต่เป็นปัญหาสุขภาพสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายเสียงรบกวนจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน โดยนิยามของเสียงรบกวนตามกฎหมาย
หมายถึง เสียงที่มีระดับการรบกวนเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยพิจารณาจากปัจจัย ดังต่อไปนี้
• ระดับความดังของเสียง (เดซิเบล)
• ระยะเวลาที่ได้รับเสียง
• ช่วงเวลาที่เกิดเสียง
• ลักษณะและประเภทของเสียง
มาตรฐานระดับเสียงตามกฎหมายไทย
การกำหนดมาตรฐานเสียงรบกวนในประเทศไทยมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล รวมถึงเพื่อเป็นการควบคุมมลภาวะทางเสียง ให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในสังคมที่อาศัยอยู่ร่วมกันให้ได้มากที่สุด โดยมาตรฐานเสียงรบกวนมีเกณฑ์กำหนดระดับเสียงสูงสุดที่ยอมรับได้ในพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้
• พื้นที่พักอาศัย: ไม่เกิน 70 เดซิเบล
• เขตการศึกษา: ไม่เกิน 60 เดซิเบล
• สถานพยาบาล: ไม่เกิน 55 เดซิเบล
• พื้นที่อุตสาหกรรม: ไม่เกิน 85 เดซิเบล
การวัดระดับเสียงรบกวน
ตามกฎหมายเสียงรบกวนการวัดระดับเสียงต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการรับรอง โดยใช้เครื่องมือวัดเสียงที่ได้มาตรฐาน และต้องทำการวัดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงจะสามารถเป็นที่ยอมรับได้ว่าระดับเสียงภายในพื้นที่นั้น ๆ อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ สถานประกอบการที่มีการใช้เสียงดัง เช่น โรงงาน สถานบันเทิง ร้านอาหารที่มีดนตรีสด ฯลฯ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ “บริการตรวจวัดระดับเสียง” เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เสียงดังภายในพื้นที่ประกอบการ ไม่เกินมาตรฐาน เพราะไม่เช่นนั้นหากถูกตรวจสอบ และพบว่าเสียงดังเกินกฎหมายกำหนด ก็เสี่ยงถูกลงโทษได้ ซึ่งร้ายแรงสุดคืออาจถึงขั้นต้องถูกสั่งปิดการดำเนินกิจการ
ประเภทของเสียงรบกวนที่กฎหมายควบคุม
เสียงรบกวนในชีวิตประจำวันมีหลากหลายรูปแบบ แต่ละประเภทมีลักษณะและผลกระทบที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจประเภทของเสียงจะช่วยให้เราจัดการปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยเสียงรบกวนที่เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการฟ้องร้องส่วนใหญ่ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ ดังนี้
1. เสียงจากสถานบันเทิง
สถานบันเทิงเป็นแหล่งกำเนิดกฎหมายเสียงรบกวนที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่ กฎหมายกำหนดให้:
• ต้องควบคุมระดับเสียงไม่เกิน 95 เดซิเบล
• ห้ามเปิดเพลงดังหลัง 24.00 น.
• ต้องมีระบบควบคุมเสียงอัตโนมัติ
• ต้องติดตั้งฉนวนกันเสียงตามมาตรฐาน
2. เสียงจากการก่อสร้าง
การก่อสร้างเป็นกิจกรรมที่จำเป็นแต่สร้างมลภาวะทางเสียงสูง กฎหมายเสียงรบกวนจึงมีข้อกำหนดพิเศษ:
• ห้ามก่อสร้างระหว่าง 22.00-06.00 น.
• ต้องมีการแจ้งแผนการก่อสร้างล่วงหน้า
• ต้องใช้เทคโนโลยีลดเสียงที่เหมาะสม
• ต้องมีการตรวจวัดระดับเสียงสม่ำเสมอ
3. เสียงจากโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานอุตสาหกรรมเป็นแหล่งกำเนิดเสียงที่มีผลกระทบต่อชุมชนในระยะยาว กฎหมายเสียงรบกวนจึงมีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
• พื้นที่อุตสาหกรรมเสียงดังต้อง ไม่เกิน 85 เดซิเบล
• ระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต้องไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ
• ต้องจัดทำรายงานการตรวจวัดเสียงทุก 6 เดือน
• ต้องติดตั้งระบบตรวจวัดเสียงแบบต่อเนื่อง (Continuous Monitoring)
• ต้องมีแผนที่แสดงจุดกำเนิดเสียงและระดับเสียงในโรงงาน
• กำหนดให้มีพื้นที่กันชน (Buffer Zone) ระหว่างโรงงานกับชุมชน
• ต้องมีมาตรการลดเสียงที่แหล่งกำเนิด เช่น:
o การติดตั้งวัสดุดูดซับเสียง
o การใช้เครื่องจักรที่มีระบบลดเสียง
o การบำรุงรักษาเครื่องจักรตามกำหนด
• มีแผนรับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาเสียงรบกวน
การบังคับใช้กฎหมายและบทลงโทษ
การบังคับใช้กฎหมายเสียงรบกวนมีความซับซ้อนและต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยมี หน่วยงานที่รับผิดชอบ และมีส่วนเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ได้แก่
• กรมควบคุมมลพิษ
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
• องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
• กรมการปกครอง
บทลงโทษตามกฎหมาย
กฎหมายเสียงรบกวนมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง วิธีการตรวจวัดระดับเสียงพื้นฐาน ระดับเสียงขณะมีการรบกวน การคำนวณค่าระดับการรบกวน และแบบบันทึกการตรวจวัดเสียงรบกวน โดยแบ่งเป็น:
1. มาตรการทางปกครอง
o การออกคำสั่งให้ปรับปรุงแก้ไข
o การสั่งระงับกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน
o การเปรียบเทียบปรับตามที่กฎหมายกำหนด
2. มาตรการทางกฎหมาย
o การดำเนินคดีตามกฎหมายสิ่งแวดล้อม
o การดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา กรณีก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ
ทั้งนี้ บทลงโทษอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามการแก้ไขกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา
การป้องกันปัญหาเสียงดังรบกวน ให้เป็นไปตามกฎหมายเสียงรบกวนเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย โดยมีแนวทางสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้
มาตรการสำหรับสถานประกอบการ
1. การติดตั้งระบบควบคุมเสียง
o ระบบจำกัดความดังอัตโนมัติ
o ระบบตรวจวัดเสียงแบบเรียลไทม์
o ติดฉนวนกันเสียงคุณภาพสูง
2. การฝึกอบรมพนักงาน
o ความรู้เรื่องมาตรฐานเสียง
o การใช้อุปกรณ์ควบคุมเสียง
o การรับมือเมื่อมีการร้องเรียน
สำหรับสถานประกอบการหรือโรงงานที่มีปัญหาเสียงดังเกิดขึ้นแล้ว และถูกร้องเรียนแล้ว แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาเสียง ให้เข้ามา “ตรวจวัดระดับเสียง” และวางแผนแก้ไข ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีการเสริมระบบผนังกันเสียง ทำห้องครอบเครื่องจักร โดยใช้วัสดุกันเสียงคุณภาพสูง เช่น แผ่นกันเสียง SCG รุ่น Cylence Zoundblock วัสดุอะคูสติกที่มีความสามารถในการกันเสียงดังทะลุเข้าออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำมาจากฉนวนใยแก้ว มีค่า STC สูง ช่วยให้สถานประกอบการลดระดับความดังของเสียง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายเสียงรบกวนกำหนดได้
แผ่นกันเสียง SCG รุ่น Cylence Zoundblock
ตัวช่วยแก้ไขปัญหาเสียงดัง ให้ถูกต้องตามกฎหมายเสียงรบกวน
มาตรการสำหรับชุมชน
1. การสร้างความตระหนักรู้
o จัดอบรมให้ความรู้
o รณรงค์ลดเสียงรบกวน
o สร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง
2. การวางผังเมือง
o กำหนดโซนพื้นที่ชัดเจน
o ออกแบบพื้นที่กันชน
o จัดระเบียบการใช้พื้นที่
บทสรุป
กฎหมายเสียงรบกวนเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหามลภาวะทางเสียง การพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ ความสำเร็จในการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม
ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ที่กิจการมีการทำงานที่ก่อให้เกิดเสียงดัง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับ กฎหมาเสียงรบกวน เพื่อรู้ทันปัญหาเสียงภายในพื้นที่ของตนเอง และหาทางวางแผนแก้ไข เพื่อให้ระดับเสียงดังเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด อันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งการดำเนินธุรกิจ และการสร้างความสงบให้กับชุมชนใกล้เคียง ซึ่งแน่นอนว่าจะยิ่งส่งเสริมทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจดีขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่มีปัญหาเสียงดังรบกวนชุมชน ถูกร้องเรียน ถูกฟ้องให้ต้องดำเนินการปรับแก้ไขลดระดับเสียงภายในพื้นที่ สามารถขอคำแนะนำทีมงาน Acoustic Expert ได้ฟรี ผ่านช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขปัญหาเสียงดัง พร้อมให้คำแนะ นัดหมายสำรวจพื้นที่หน้างานจริง วัดระดับเสียง และวางแผนออกแบบแก้ไขปัญหาเสียงดังให้ได้ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด